มะค่าแต้
ชื่อสามัญ Ma kha num
มะค่าแต้
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sindora
siamensis Miq. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Galedupa cochinchinensis
(Baill.) Prain, Galedupa siamensis (Teijsm.) Prain, Sindora cochinchinensis
Baill., Sindora siamensis var. siamensis, Sindora wallichii var. siamensis
(Teijsm.) Baker) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE
หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรมะค่าแต้
มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะค่าหยุม มะค่าหนาม (ภาคเหนือ), แต้ (ภาคอีสาน), มะค่าหนาม
มะค่าแต้ มะค่าลิง (ภาคกลาง), กอกก้อ (ชาวบน-นครราชสีมา),
กอเก๊าะ ก้าเกาะ (เขมร-สุรินทร์), กรอก๊อส
(เขมร-พระตะบอง), แต้หนาม เป็นต้น
Note : ต้นมะค่าแต้เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์
ลักษณะของมะค่าแต้
- ต้นมะค่าแต้ มีเขตการกระจายพันธุ์จากภูมิภาคอินโดจีนจนถึงมาเลเซีย ในประเทศไทยสามารถพบได้ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าโคกข่าว ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง และป่าชายหาดที่ระดับใกล้กับน้ำทะเลไปจนถึงที่ระดับความสูง 400 เมตร[2] โดยจัดเป็นไม้ยืนต้น มีความสูงของต้นประมาณ 10-15 เมตร แตกกิ่งก้านแผ่กว้าง มีเรือนยอดเป็นรูปร่มหรือเป็นทรงเจดีย์ต่ำ กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาล เปลือกต้นเรียบเป็นสีเทาคล้ำ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง
- ใบมะค่าแต้ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับ มีใบย่อยประมาณ 3-4 ใบ แกนช่อใบยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ลักษณะของใบเป็นรูปรีหรือรูปไข่ ปลายใบเว้าตื้น โคนใบเป็นรูปลิ่ม ส่วนขอบใบเป็นคลื่น ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร แผ่นใบหนา แผ่นใบด้านบนมีขนหยาบ ส่วนด้านท้องใบมีขนนุ่มดอกมะค่าแต้ ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบหรือตามปลายกิ่ง ช่อดอกยาวประมาณ 10-25 เซนติเมตร
- ดอกมะค่าแต้ดอกเป็นสีเหลืองแกมเขียว มีกลีบเลี้ยงหนา 4 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่กว้าง ปลายกลีบมีหนามขนาดเล็ก ส่วนกลีบดอกยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 ก้าน และมี 2 ก้านใหญ่กว่าก้านอื่น ๆ ด้านนอกดอกมีขนสีน้ำตาล ก้านดอกยาวประมาณ 0.2-0.4 เซนติเมตร โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม
- ผลมะค่าแต้ ออกผลเป็นฝักเดี่ยวแบนค่อนข้างกลม ที่ผิวเปลือกมีหนามแหลมอยู่ทั่วไป ผลเป็นรูปไข่กว้างหรือเป็นรูปโล่ โคนเบี้ยวและมักมีติ่งแหลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4.5-10 เซนติเมตร พอแห้งจะแตกออกเป็น 2 ซีก ภายในมีเมล็ดสีดำประมาณ 1-3 เมล็ด โดยผลจะแก่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสรรพคุณและประโยชน์ของ มะค่าแต้ คลิกที่นี้
แหล่งอ้างอิง
1.หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “มะค่าแต้”.
(พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า
150.
2.หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
เล่ม 4.
3.โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.
“มะค่าแต้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.shc.ac.th/learning/botanical-garden/. [12 พ.ค. 2014].
4.ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “มะค่าแต้”.
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [12 พ.ค. 2014].
5.ฐานข้อมูลพรรณไม้โรงเรียนบ้านเขาหินซ้อน(พัฒนาการภาคตะวันออก), งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนบ้านเขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา. “มะค่าแต้”.
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.hinsorn.ac.th/botanyhinsorn. [12 พ.ค. 2014].
6.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนะราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, สถาบันวิจัยและพัฒนา
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต.
“มะค่าแต้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: rspg.dusit.ac.th. [12 พ.ค. 2014].
7.ระบบฐานข้อมูลพรรณไม้ที่เหมาะสมกับระบบนิเวศและวิถีชีวิตชุมชน
เพื่อลดมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง
ภายใต้โครงการชุมชนอยู่คู่อุตสาหกรรม.
“มะค่าแต้”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: onep-intranet.onep.go.th/plant/. [12 พ.ค. 2014].
8. medthai.com.
“มะค่าแต้ สรรพคุณและประโยชน์ของมะค่าแต้ (มะค่าแต้)”.
[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก https://medthai.com/เมะค่าแต้/ [15/04/2019]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น