อบเชย
ชื่อสามัญ Cinnamon, Cassia
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum spp. จัดอยู่ในวงศ์อบเชย
(LAURACEAE)
ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า บอกคอก (ลำปาง), พญาปราบ
(นครราชสีมา), สะวง (ปราจีนบุรี), กระดังงา
(กาญจนบุรี), ฝักดาบ (พิษณุโลก), สุรามิด
(สุโขทัย), กระแจกโมง โมงหอม (ชลบุรี), กระเจียด เจียดกระทังหัน (ยะลา), อบเชยต้น มหาปราบ
(ภาคกลาง) เป็นต้น
ชนิดของอบเชย
อบเชยมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด
ซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณภาพที่แตกต่างกันออกไปตามสถานที่ปลูกหรือแหล่งผลิต
อบเชยแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติหรือสรรพคุณทางยาที่ใกล้เคียงกัน
สามารถนำมาใช้แทนกันได้ โดยอบเชยพันธุ์ที่มีชื่อเสียงคุณภาพดีและราคาแพงที่สุด คือ
อบเชยสายพันธุ์จากศรีลังกา อบเชยสายพันธุ์จากจีนจะอ่อนที่สุด
ส่วนอบเชยไทยนั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยม เพราะเปลือกหนาและไม่หอม
ส่วนอีกข้อมูลระบุนั้นว่าอบเชยญวนจะมีคุณภาพสูงสุด รองลงมาคืออบเชยจีน และอบเชยเทศ
ซึ่งส่วนประกอบของสารเคมีและน้ำมันระเหยแต่ละชนิดจะไม่เท่ากัน อบเชยที่พบได้ในประเทศไทยนั้นมีมากกว่า
16 ชนิด แต่จะมีชนิดใหญ่ ๆ อยู่ 5 ชนิดด้วยกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
อบเชยเทศ หรือ อบเชยลังกา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum verum J.Presl (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์
Cinnamomum zeylanicum Blume)
ชื่อสามัญ Ceylon cinnamon, True cinnamon
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ไม่ผลัดใบ
เปลือกลำต้นเป็นสีเทาและหนา กิ่งขนานกับพื้นและตั้งชันขึ้น
ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันตามลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปหอก
ปลายใบแหลม โคนใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ มีเส้นใบ 3 เส้น ใบค่อนข้างหนา ผิวใบเรียบเป็นมัน
สีเขียมเข้ม ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเล็กเป็นสีเหลืองและมีกลิ่นหอม
ผลเป็นสีดำมีลักษณะคล้ายรูปไข่ ผิวเปลือกเรียบบาง หนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร
ชนิดนี้มาจากประเทศอินเดียและศรีลังกา[3],[10] เป็นชนิดที่มีราคาแพงที่สุด
อบเชยจีน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum cassia (L.) J.Presl (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์
Cinnamomum aromaticum Nees, Cinnamomum cassia (L.) D. Don)
ชื่อสามัญ Chinese cassia, Chinese cinnamom, Cassia
lignea, Cassia bark, False cinnamon(ชื่ออื่น โย่วกุ้ย กวนกุ้ย
อิกุ้ย (จีนกลาง)) อบเชยชนิดนี้มีความสูงและขนาดของลำต้นใหญ่กว่าอบเชยเทศ
มีเปลือกหนาหยาบกว่าและสีเข้มกว่าอบเชยเทศเล็กน้อย อบเชยจีนเป็นพรรณไม้ที่พบในประเทศจีนแถบมณฑลกวงสี
ยูนนาน และกวางตุ้ง โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงได้ประมาณ 10-15 เมตร เปลือกลำต้นหนาและเป็นสีเทาเข้ม มีรอยแตกตามยาว
เปลือกลำต้นมีรูปรูปกลมรี เนื้อในเปลือกเป็นสีแดงเข้ม มีกลิ่นหอมและมีรสหวาน
ตามกิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม ใบอบเชยจีน ใบออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรีหลายแหลม
ขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-5.5 เซนติเมตร
และยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร เนื้อใบหนา มีเส้นใบตามยาว 3
เส้น หลังใบเป็นสีเขียวผิวใบเรียบมัน ส่วนท้องใบมีสีเขียมอมเทา
และมีขนปกคลุมเล็กน้อย ก้านใบยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร
ส่วนดอกอบเชยจีน ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 10-19
เซนติเมตร ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ดอกเป็นสีเหลืองอมเขียว กลีบดอกคล้ายรูปหัวใจ
ดอกมีกลีบดอก 6 กลีบ ยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร
มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร ก้านดอกยาวประมาณ
3 มิลลิเมตร ใจกลางของดอกมีมีเกสรเพศผู้ 9 อัน และผลอบเชยจีน ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมรี ขนาดเท่าเมล็ดถั่วลันเตา
ผลเมื่อสุกจะเป็นสีม่วงเข้ม
อบเชยญวน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum loureiroi Nees (ชื่อสามัญ
Cinnamon, Saigon Cinnamon, Vietnamese cassia) เป็นไม้ยืนต้น
มีลักษณะลำต้นคล้ายคลึงกับอบเชยจีนมาก ใบเป็นใบเดี่ยวค่อนข้างบาง
ลักษณะของใบเป็นรูปร่างยาวเรียว ปลายใบแหลม ดอกและผลมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอม
แต่กลิ่นจะหอมไม่เท่ากับอบเชยเทศ มีรสหวาน ชนิดนี้มีรสหวานแต่ไม่ค่อยหอม
ปลูกได้ดีมากในประเทศไทย และประเทศไทยเราจะส่งออกอบเชยชนิดนี้เป็นหลัก
อบเชยชวา หรือ อบเชยอินโดนีเซีย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum burmanni (Nees & T.Nees) Blume ชื่อสามัญ Indonesian cassia, Batavia cassia, Batavia cinnamom,
Panang cinnamon
เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดใหญ่กว่าอบเชยที่กล่าวมาทั้งหมด
เป็นอบเชยที่มีวางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป แต่นิยมเรียกกันว่า อบเชยเทศ
ลักษณะของใบเป็นรูปยาวเรียว ปลายใบแหลม ดอกและผลมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมแต่น้อยกว่าอบเชยเทศ
และเป็นอบเชยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน
อบเชยไทย
คืออบเชยชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum bejolghota (Buch.-Ham.)
Sweet (มีชื่อเรียกอื่นว่า เชียกใหญ่, จวงดง,
เฉียด, ฝนเสน่หา, สมุลแว้ง,
มหาปราบ ) หรือเป็นอบเชยที่ได้จากต้น "อบเชยต้น" (Cinnamomum
iners Reinw. ex Blume.) โดยอบเชยต้นนั้นมีชื่อสามัญว่า Cinnamom
และมีชื่อเรียกในท้องถิ่นอื่น ๆ อีกว่า บอกคอก (ลำปาง), พญาปราบ (นครราชสีมา), กระดังงา (กาญจนบุรี),
สะวง (ปราจีนบุรี), ฝักดาบ (พิษณุโลก),
กระแจะโมง กะเชียด กะทังนั้น (ยะลา), มหาปราบตัวผู้
อบเชย อบเชยต้น (ภาคกลาง), เขียด เคียด เฉียด ชะนุต้น
(ภาคใต้), ดิ๊กซี่สอ กัวเล่ะบิ๊ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่),
กะพังหัน โกเล่ เนอม้า (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), เสี้ยง (ม้ง), ม้าสามเอ็น (คนเมือง), เชียด) อบเชยชนิดจะพบได้ในป่าเขาที่ยังอุดมสมบูรณ์หรือป่าดงดิบทั่วไปในประเทศไทย
จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 15-20 เมตร ทรงพุ่มกลมหรือเป็นรูปเจดีย์ต่ำ ๆ ทึบ
เปลือกต้นค่อนข้างเรียบเกลี้ยงเป็นสีน้ำตาลอมเทา เปลือกและใบมีกลิ่นหอม ใบอบเชยไทย
ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนาน
ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-7.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7.5-25
เซนติเมตร แผ่นใบหนา เกลี้ยง แข็ง และกรอบ เส้นใบออกจากโคนมี 3
เส้น ยาวตลอดจนถึงปลายใบ ด้านล่างเป็นคราบขาว ก้านใบยาวประมาณ 0.5
เซนติเมตร ดอกอบเชยไทย ออกดอกเป็นช่อแบบกระจายที่ปลายกิ่ง ยาวประมาณ
10-25 เซนติเมตร ดอกมีกลิ่นเหม็น
ดอกมีขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนหรือสีเขียวอ่อน ผลอบเชยไทย ผลมีขนาดเล็ก
ลักษณะของผลเป็นรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ผลแข็ง
ตามผิวผลมีคราบขาว แต่ละมีเมล็ดเดียว ฐานรองรับผลมีลักษณะเป็นรูปถ้วย (อบเชยไทยเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดระนอง
ลักษณะของอบเชย
อบเชยเป็นเครื่องยาหรือเครื่องเทศที่ได้มาจากการขูดเอาเปลือกชั้นออกให้หมด
แล้วลอกเปลือกชั้นในออกจากแก่นลำต้น โดยใช้มีดกรีดตามยาวของกิ่ง
แล้วนำไปผึ่งในที่ร่มสลับกับตากแดดประมาณ 5 วัน และในขณะที่ตากให้ใช้มือม้วนเอาขอบทั้งสองข้างเข้าหากัน
เมื่อเปลือกแห้งแล้วจึงมัดรวมกัน
โดยเปลือกอบเชยที่ดีนั้นจะต้องเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีสนิม
มีความตรงและยางอย่างสม่ำเสมอ โดยยาวประมาณ 1 เมตร มีรสสุขุม
เผ็ด หวานเล็กน้อย และมีกลิ่นหอมแบบเฉพาะ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
ประโยชน์และสรรพคุณของต้นอบเชย คลิกที่นี่
เอกสารอ้างอิง
1.หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “อบเชย”.
หน้า 195.
2.หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.
(คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).
“อบเชย”. หน้า 83.
3.หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “อบเชย”
หน้า 207-209.
4.หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “อบเชยจีน”.
หน้า 642.
5.ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “อบเชย”. [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [29 ก.ค. 2014].
6.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.
“อบเชยเทศ”, “อบเชยต้น (เชียด)”. [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [29 ก.ค. 2014].
7.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “เชียด, ม้าสามเอ็น,
อบเชยไทย, อบเชยต้น”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย
(เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 6 (ก่องกานดา ชยามฤต). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [29 ก.ค. 2014].
8.ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เชียด, อบเชยต้น”. [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: www.goldenjubilee-king50.com. [29 ก.ค. 2014].
9.พันธุ์ไม้มงคลพระราชทาน, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า
และพันธุ์พืช. “อบเชย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/pattani_botany/. [29 ก.ค. 2014].
10.หนังสือสารานุกรมสมุนไพร: รวมหลักเภสัชกรรมไทย. (วุฒิ วุฒิธรรมเวช). “อบเชย”.
หน้า 195.
11.ไทยเกษตรศาสตร์.
“อบเชย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com. [29 ก.ค. 2014].
12.ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “อบเชย”. (นพพล เกตุประสาท). [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [29 ก.ค. 2014].
13.สมุนไพรเพื่อสุขภาพ.
“อบเชยจีนสมุนไพรเพื่อสุขภาพ”.
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: herb-to-health.blogspot.com. [29 ก.ค. 2014].
14.
medthai.com. “อบเชย สรรพคุณและประโยชน์ของอบเชย 48 ข้อ ! “
[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก https://medthai.com/อบเชย/
[18/04/2019]
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Steelshots, Pi Rawr,
Scamperdale, Vijayasankar Raman, jt huang)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น